1

ปฏิรูปประเทศไทย แก้!วิกฤติชาวนา




วิกฤติชาวนา” คือ “วิกฤติประเทศ” ศ.นพ.ประเวศ วะสีราษฎรอาวุโส ย้ำว่า การขาดความเป็นธรรมที่มีต่อชาวนาเป็น ปัญหาเรื้อรังมานาน และเป็นพื้นฐานของปัญหาอื่นๆ ที่ทำให้ประเทศ “อ่อนแอ” และ “วิกฤติ”

พระองค์เจ้าดิลกฯ พระราชโอรสองค์หนึ่งของ ร.5 เสด็จไปศึกษาในยุโรปตั้งแต่พระชนมายุ 13 อยู่ในยุโรป 10 ปี สำเร็จการศึกษาปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์จากประเทศเยอรมนี วิทยานิพนธ์เป็นเรื่องเศรษฐกิจชาวนาไทย ทรงเห็นใจชาวนาที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ไม่มีใครเข้าใจ พระองค์ท่าน กลับมาทรงรับราชการอยู่ 10 ปี ก็สิ้นพระชนม์ด้วยทรงฆ่าตัวตาย

การพัฒนาสมัยใหม่ไม่เป็นธรรมกับชาวนา เคยได้ยินข้าราชการคุยกันเรื่องปิดบังข้อมูลไม่ให้ชาวนารู้เส้นทางที่จะตัดถนนผ่านเพื่อจะดักซื้อที่ชาวนาด้วยราคาถูก ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ การที่รัฐไปเปลี่ยนวิถีเกษตรกรรม จากการเกษตรเพื่อชีวิตหรือเกษตรยั่งยืน เป็นการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เพื่อประโยชน์ของการตลาด

ทำให้ “ชาวนา”...ทั้งประเทศตกอยู่ในฐานะ “ขายถูก...ซื้อแพง” ล้มละลายทางเศรษฐกิจ เป็นหนี้เป็นสิน ต้องขายวัวขายควายขายที่และขายสมบัติชิ้นสุดท้าย คือขายลูกสาวไปเป็นโสเภณีในเมือง

นี่คือโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับชาวนาไทยทั้งประเทศ ที่เป็นพื้นฐานของปัญหาอื่นๆ เช่น ปัญหาคนจนเมือง ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสังคมต่างๆ

นโยบายประชานิยมของรัฐบาลทุกรัฐบาลไม่สามารถช่วยชาวนาได้จริง อาจช่วยตามอาการเล็กๆ น้อยๆแบบกินยาพารา-เซตามอล แต่เพื่อหาเสียงให้รัฐบาลและเป็นหนทางหาผลประโยชน์ รวมทั้งหมุนเงินผ่านชาวนากลับไปสู่พ่อค้าคนกลาง

“โครงการรับจำนำข้าว”...เป็นตัวอย่างที่นำความเดือดร้อนมาสู่ทุกฝ่าย

ศ.นพ.ประเวศ บอกว่า ในช่วง “หลงผิด” มีการพูดว่าการเกษตรจะมีความสำคัญน้อยลงๆ กาลล่วงมาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจสมัยใหม่ได้นำโลกไปสู่การเสียความสมดุลอย่างรุนแรงและความไม่ยั่งยืน เกิดความเหลื่อมล้ำสุดๆ ที่เรียกว่า “ปรากฏการณ์ 99:1”

คือการพัฒนาเป็นประโยชน์ต่อคน 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นคน 99เปอร์เซ็นต์ เสียเปรียบ...ชาวนาก็อยู่ในพวก 99 เปอร์เซ็นต์ ความเหลื่อมล้ำที่มากมาย เกินไปนี้ทำให้เสียสมดุลทางอำนาจ ทั้งทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ

นำไปสู่ปัญหาสุขภาพ ปัญหาสังคม ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาทางการเมือง อย่างแก้ไขไม่ได้ ระบบเศรษฐกิจบริโภคนิยมได้นำไปสู่การทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง และสภาวะโลกร้อน ซึ่งก่อให้เกิดหายนภัยต่างๆ รุนแรงขึ้นและถี่ขึ้น เช่น พายุรุนแรง น้ำท่วม แผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิด คลื่นสึนามิ การผลิตอาหารจะทำได้น้อยลง โรคระบาดจะมากขึ้น รวม แล้วจะทำให้คนตายเป็นพันล้านคน นั่นคือสภาพวิกฤติและความไม่ยั่งยืน

“วิกฤติอาหาร”...จะเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤติโลก แต่ว่าประเทศไทยมีจุดแข็งเรื่องการผลิตอาหาร ควรจะรักษาตรงนี้ไว้ให้ได้ ฉะนั้น ความเข้มแข็งและคุณภาพชีวิตของเกษตรกรจึงมีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เกษตรกรเป็นฐานของประเทศ ถ้าฐานของประเทศแข็งแรงจะรองรับประเทศทั้งหมดให้มั่นคงและยั่งยืน ความยั่งยืนของสังคมเกษตรกรคือความยั่งยืนของสังคมทั้งหมด

ไฮไลต์สำคัญ “ปฏิรูปประเทศไทย–ปฏิรูประบบชีวิตชาวนาไทย” จากวิกฤติสุดๆประเทศไทย คนไทยทุกภาคส่วนได้ตระหนักร่วมกันว่าประเทศไทยต้องมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ หรือที่เรียกว่า “ปฏิรูปประเทศไทย” ศ.นพ.ประเวศ ย้ำว่า การปฏิรูปประเทศไทยมีวัตถุประสงค์ใหญ่เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศให้มีความเป็นธรรม ความไม่เป็นธรรมใหญ่อย่างหนึ่ง คือความไม่เป็นธรรมกับระบบชาวนาไทย

“ไม่มีใครไม่อยากเห็นชีวิตชาวนาไทยดีขึ้น แต่ความพยายามที่แล้วมาไม่เป็นผลสำเร็จ  เพราะระบบชาวนามีหลายมิติที่ซับซ้อนและยาก การแก้ไขที่ไม่สำเร็จเพราะเป็นการแตะโน่นนิดนี่หน่อยไม่ได้แก้ทั้งระบบ ในโอกาสที่คนไทยเห็นร่วมกันว่าต้องปฏิรูปประเทศไทย ควรต้องมุ่งมั่นร่วมกันว่าจะปฏิรูประบบชาวนาทั้งระบบให้ได้ ให้สังคมชาวนามีความเข้มแข็ง มั่นคง ยั่งยืน”

ไหนๆทุกฝ่ายก็ประกาศว่าต้องการปฏิรูปประเทศไทย รูปธรรมอย่างหนึ่งคือ ร่วมปฏิรูประบบชาวนาไทย และควรจะเป็นจุดที่ร่วมกันได้ว่าทุกฝ่ายรักชาวนาไทย ต้องการเห็นชีวิตชาวนาไทยดีขึ้น มีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะปฏิรูประบบชาวนาไทย การร่วมกันทำงานในเรื่องนี้จะทำให้เกิดความเชื่อถือไว้วางใจกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานเรื่องอื่นๆ เพื่อประเทศไทยอีกต่อไป

หลักการ...พัฒนาอย่างบูรณาการต้องเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง... เอากรมเป็นตัวตั้งไม่ได้ คงต้องอธิบายให้เข้าใจว่า สังคมชาวนาหรือสังคมชนบทจะมีศานติสุขและยั่งยืน ต่อเมื่อมีการ พัฒนาอย่างบูรณาการและสมดุล ซึ่งเกิดขึ้นไม่ได้เพราะประเทศไทยพัฒนาแบบแยกส่วน โดยรวมอำนาจการปกครองและใช้กรมเป็นเครื่องมือ การพัฒนาโดยเอากรมเป็นตัวตั้งบูรณาการไม่ได้ เพราะกรมทำงานแบบแยกส่วนเป็นเรื่องๆ เช่น กรมดิน กรมน้ำ กรมต้นไม้ กรมข้าว ฯลฯ

จะต้องปฏิรูปการปกครองโดยคืนอำนาจไปให้ประชาชนปกครองตัวเอง...ในรูปชุมชนจัดการตนเอง ท้องถิ่นจัดการตนเอง จังหวัดจัดการตนเอง “เมื่อชุมชนท้องถิ่นสามารถจัดการพัฒนาอย่างบูรณาการและจัดการพัฒนานโยบายสังคมชนบทหรือสังคมชาวนา จึงจะมั่นคงยั่งยืน นี่เป็นหลักการ”

แนวทางต่อไปนี้เป็นแนวทาง 5 ประการที่ทำให้ระบบชีวิตชาวนาดีขึ้น ได้แก่ (1) สังคมชาวนาเข้มแข็ง ชาวนาต้องรวมตัวร่วมคิด ร่วมทำ เป็นสังคมเข้มแข็ง มีการจัดการ มีพลังร่วม มีปัญญาร่วมมีการเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้น เครือข่ายชาวนาที่มีข้อมูล คิดเป็นทำเป็น จัดการเป็น มีอำนาจต่อรองทางการเมือง จะเป็นพลังสำคัญที่สุดที่จะ “ปฏิรูปชีวิตชาวนา” และ “ปฏิรูปประเทศไทย”

(2) ใช้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง–เกษตรยั่งยืน–การพัฒนาอย่างยั่งยืน ปรับวิถีการเกษตรจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ซึ่งทำให้เสียสมดุลหมดทุกมิติ (3) การจัดสรรการใช้ทรัพยากรอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน ทรัพยากร เช่น ที่ดิน ป่าไม้ แหล่งน้ำ เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับชีวิต ประชาชนมีสิทธิที่จะมีชีวิต จึงมีสิทธิที่จะใช้ทรัพยากรอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน ชุมชนสามารถ จัดการให้ทุกครอบครัวมีที่ทำกิน

เมื่อทุกครอบครัวมีที่ทำกิน และทำเกษตรยั่งยืน ตามข้อ (2)จะหายจนอย่างถาวรและมีความมั่นคงในชีวิต ทุกครอบครัวสามารถมี สระน้ำประจำครอบครัว ทั่วประเทศจะเก็บน้ำได้มหาศาล ป้องกันน้ำท่วมไม่ต้องสร้างเขื่อนให้ต้องทะเลาะกัน เป็นประโยชน์ต่อการเกษตรอย่างทั่วถึงมากกว่าระบบชลประทานมหภาค

(4) มีสถาบันการเงินของชุมชนระดับตำบลทุกตำบล นอกเหนือไปจากกองทุนขนาดเล็กต่างๆในชุมชน ควรมีสถาบันการเงินของชุมชนระดับตำบลที่ชุมชนจัดการตนเอง เพื่อการออม การนำไปลงทุน และเพื่อสวัสดิการชุมชน (5) จัดการความสัมพันธ์กับภายนอกให้ได้สมดุล จัดการแสวงหาความสนับสนุนที่เหมาะสม คือที่จะทำให้ชุมชนแข็งแรงขึ้นไม่ใช่อ่อนแอลง เช่น ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ เทคโนโลยีฯลฯ

“วิกฤติชาวนาไทย”...เป็นโอกาสที่จะร่วมมือกันทั้งประเทศ เพื่อเห็นใจ เข้าใจ และแก้ไขปัญหาชาวนาไทยเชิงระบบครบวงจร ประเทศไทยจะเปลี่ยน...ปฏิรูปครั้งใหญ่ คนไทยจะรักกันมากขึ้น.
โดย: ไทยรัฐฉบับพิมพ์
Share this post :

Test Sidebar

 
Support : Creating Website | Johny Template | Mas Template
Copyright © 2011. เรื่องเด่น ประเด็นดัง สาระน่ารู้ - All Rights Reserved
Template Created by Creating Website Published by Mas Template
Proudly powered by Blogger